คณะการสร้างเจ้าของธุรกิจ “รุกแก้ ‘กับดัก เอสเอ็มอี-สตาร์ทอัพไทย เร่งเครื่องสร้างเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่รับมือเศรษฐกิจดิจิทัล

คณะการสร้างเจ้าของธุรกิจ “รุกแก้ ‘กับดัก เอสเอ็มอี-สตาร์ทอัพไทย เร่งเครื่องสร้างเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่รับมือเศรษฐกิจดิจิทัล

คณะการสร้างเจ้าของธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ประกาศปฏิวัติการศึกษาด้านการจัดการและธุรกิจเต็มรูปแบบ หลังผลจัดอันดับ IMD World Competitiveness 2024 เผยระบบการศึกษาการจัดการไทย ตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจ ตกลงไป 13 อันดับ ลดลงจากลำดับที่ 19 เป็น 32 สาเหตุมาจาก การขาดประสบการณ์ตรงของอาจารย์ในภาคธุรกิจและการวิจัยที่ไม่สามารถตอบโจทย์ปัญหาจริงของตลาดประเทศไทยมมี ระบุ SMEs ถือเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทย ปัจจุบันมีจำนวน 3.2 ล้านราย คิดเป็น 99.5% ของสถานประกอบการทั้งหมด การจ้างงาน ราว 12.8 ล้านคน หรือเฉลี่ย 4 คนต่อธุรกิจ สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ 38.5% ของ GDP และมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 14% เดินหน้าสร้าง เจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่ ที่พร้อมรับมือกับความท้าทายของ เศรษฐกิจดิจิทัล และช่วย ผู้ประกอบการพ้น “กับดัก SMEs ไทย”

ผศ.ดร.เกรียงไกร สัจจะหฤทัย คณบดีคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจ เปิดเผยว่า จากรายงาน IMD World Competitiveness Ranking 2024 พบว่าแม้ประเทศไทยจะมีความสามารถในการแข่งขันในระดับนานาชาติ แต่ระบบการศึกษาการจัดการไทย ตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจ ตกลงไป 13 อันดับ ลดลงจากลำดับที่ 19 เป็น 32 จากการประสบปัญหาที่สำคัญ 5 ด้าน ได้แก่
1. อาจารย์ขาดประสบการณ์จริง การสอนในห้องเรียนยังขาดการเชื่อมโยงกับโลกธุรกิจจริง สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง
2. งานวิจัยไม่ตอบโจทย์ภาคธุรกิจ เน้นตีพิมพ์ผลงานวิชาการมากกว่าการวิจัยที่สามารถนำไปปรับใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดจริง
3. ความยั่งยืนเป็นเพียงรูปโฉม หลักสูตรในหลายสถาบันมักพูดถึงแนวคิดความยั่งยืนเพียงแค่ในระดับการตลาด ไม่ได้บูรณาการอย่างแท้จริงในกระบวนการเรียนการสอน
4. ขาดการสอนนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ หลักสูตรยังไม่มีการบูรณาการแนวคิดอย่าง Design Thinking และ Creative Thinking ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
5. ล้าหลังด้านเทคโนโลยีและ AI ขาดผู้เชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่และ AI ทำให้หลักสูตรไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ
นอกจากการศึกษาที่ไม่ตอบโจทย์ เจ้าของธุรกิจไทยยังต้องเผชิญกับ ”กับดัก” มากมาย โดยเฉพาะ ขาดทักษะนวัตกรรมและการเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งขัดขวางการเติบโตของธุรกิจ โดยพบว่าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างมาก ปัจจุบันจำนวนมากถึง 3.2 ล้านราย คิดเป็น 99.5% ของสถานประกอบการทั้งหมด และมีการจ้างงานรวมประมาณ 12.8 ล้านคน หรือเฉลี่ย 4 คนต่อกิจการ ในด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ (Value Added) SMEs มีสัดส่วนประมาณ 38.5% ของ GDP ประเทศไทย และมีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกประมาณ 14% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ตามโครงสร้าง GDP ของ SMEs ในปี 2566 จำแนกตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญ พบว่า ภาคการบริการมีความสำคัญมากที่สุด รองลงมาคือ ภาคการผลิต และภาคการค้าปลีกและค้าส่ง
