SCGD เร่งเครื่องสู่ Net Zero 2593 เดินหน้าลงทุน หนุนพลังงานสะอาด – ลดต้นทุนด้วย เทคโนโลยีดิจิทัลและระบบอัตโนมัติ– เสริมศักยภาพแข่งขันทั่วอาเซียน

SCGD เร่งเครื่องสู่ Net Zero 2593 เดินหน้าลงทุน หนุนพลังงานสะอาด – ลดต้นทุนด้วย เทคโนโลยีดิจิทัลและระบบอัตโนมัติ– เสริมศักยภาพแข่งขันทั่วอาเซียน

   เมื่อ : 10 ก.ย. 2568

บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD เร่งขับเคลื่อนเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมแผนการเติบโตธุรกิจอย่างยั่งยืน ล่าสุด ณ ปี 2567 สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้แล้วกว่า 35% (เทียบกับปีฐาน 2563) โดยใช้ 2 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1. การลงทุนในโครงการใช้พลังงานทดแทน เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์และเชื้อเพลิงชีวมวล มุ่งมั่นขยายการใช้พลังงานทดแทนครอบคลุมฐานการผลิตทั่วอาเซียน และ 2. การปรับโครงสร้างธุรกิจนำเอาเทคโนโลยีระบบดิจิทัล และระบบอัตโนมัติมาปรับใช้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และยกระดับการบริหารจัดการทั่วทั้งองค์กร

ในปี 2568 SCGD มีประมาณการค่าใช้จ่ายในการลงทุนรวมกว่า 2,000 ล้านบาท โดยมีแผนใช้จ่ายในโครงการด้านพลังงานสะอาดและการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ด้วยงบกว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอน และยังเสริมศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว โดยการลงทุนในโครงการด้านพลังงานทดแทนในปี 2567 ช่วยลดต้นทุนพลังงานได้แล้วกว่า 300 ล้านบาทต่อปี และสำหรับโครงการที่แล้วเสร็จในครึ่งปีแรกของปี 2568 คาดว่าจะลดเพิ่มได้อีก 36 ล้านบาทต่อปี ขณะเดียวกัน การปรับโครงสร้างธุรกิจปรับใช้เทคโนโลยี ระบบดิจิทัล และระบบอัตโนมัติ เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ช่วยลดต้นทุนรวมได้กว่า 60 ล้านบาทต่อปี และคาดว่าจะลดต้นทุนได้เพิ่มอีกในระยะถัดไป ​นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “SCGD เดินหน้าเรื่องความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักที่นำมาใช้สร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ การลดการปล่อยคาร์บอนกว่า 35% ในขอบเขตที่ 1 และ 2 จากปีฐาน 2563 เป็นผลจากการวางแผนระยะยาว การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการลงทุนด้านเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน”

ในช่วงครึ่งแรกปี 2568 SCGD สามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์เพิ่มเพื่อผลิตไฟฟ้ารวม 41.4 เมกะวัตต์ คิดเป็น 12% ของพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมด และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานชีวมวล (Biomass) เป็น 22% ของพลังงานความร้อน โดยตั้งเป้าเพิ่มเป็น 46% ภายในปี 2573 ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และลดความผันผวนของต้นทุนในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

​ด้านกลยุทธ์การขยายตลาด SCGD ยังเดินหน้าเสริมศักยภาพการผลิตในประเทศกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะในเวียดนาม ซึ่งเป็นทั้งฐานการผลิตและตลาดที่มีศักยภาพสูง ผ่านการลงทุนด้านพลังงานทดแทน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนต่อหน่วยและเพิ่มความได้เปรียบด้าน ESG ซึ่งเป็นปัจจัยที่ลูกค้าทั่วโลกให้ความสำคัญมากขึ้น โดยปัจจุบันรายได้จากต่างประเทศคิดเป็นประมาณ 36% ของรายได้รวม

ล่าสุด SCGD ได้เริ่มโครงการนำร่องติดตั้งระบบผลิตก๊าซจากเชื้อเพลิงชีวมวล (Biomass Gasifier) ที่โรงงานในเวียดนาม เพื่อทดแทนการใช้ถ่านหินเพิ่มเติมนอกเหนือจากการผลิตความร้อนจากพลังงานชีวมวล (Hot Air Generator) พร้อมแผนขยายโครงการไปยังฐานการผลิตอื่นในภูมิภาคเพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน และลดต้นทุนในระยะยาวอย่างยั่งยืน

 

นอกจากนี้ SCGD เดินหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจ ปรับปรุงระบบการผลิตต่อเนื่องด้วยเทคโนโลยีระบบดิจิทัล และระบบอัตโนมัติ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน อาทิ ระบบตรวจสอบคุณภาพกระเบื้อง การแพคกระเบื้อง ระบบอัตโนมัติในกระบวนการผลิตสุขภัณฑ์ การพ่นเคลือบสี และการเคลื่อนย้ายชิ้นงาน รวมถึงระบบบริหารคลังสินค้า One WMS ที่ใช้เทคโนโลยีช่วยจัดการพื้นที่จัดเก็บสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพแม่นยำ ส่งผลให้บริษัทสามารถลดต้นทุนรวมได้กว่า 60 ล้านบาทต่อปี

ขณะเดียวกัน SCGD ยังพัฒนาและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ กระเบื้องที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล วัสดุปูพื้น SPC แบบ non-firing ที่ไม่ใช้พลังงานจากการเผา และการรีไซเคิลของเสียจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่ เพื่อลดการใช้ทรัพยากรและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

 

​“การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดจะไม่เพียงสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเท่านั้น 
แต่ยังทำให้ SCGD สามารถควบคุมต้นทุนพลังงานได้ดีขึ้นในระยะยาว เพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งระดับโลก และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้น คู่ค้า และลูกค้าในทุกตลาดที่เราดำเนินธุรกิจ” นายนำพล กล่าว

​ความมุ่งมั่นดังกล่าวฯ ส่งผลให้ SCGD ได้รับการจัดอันดับ ESG Rating ระดับ A ประจำปี 2567 ในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (Propcon) ซึ่งสะท้อนถึง ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และบริษัทยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อการดำเนินงานที่ยั่งยืน

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ