กรุงศรีเผยผลกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปี 2568 จำนวน 24.61 พันล้านบาท เน้นกลยุทธ์เติบโตอย่างมีคุณภาพ พร้อมบริหารความเสี่ยงรอบคอบระมัดระวัง
กรุงศรีเผยผลกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปี 2568 จำนวน 24.61 พันล้านบาท เน้นกลยุทธ์เติบโตอย่างมีคุณภาพ พร้อมบริหารความเสี่ยงรอบคอบระมัดระวัง
กรุงเทพฯ (20 ตุลาคม 2568) – กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) รายงาน
ผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 2568 มีกำไรสุทธิจำนวน 24,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กำไรพิเศษที่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน บมจ. ติดล้อ โฮลดิ้งส์ (TIDLOR) ซึ่งบางส่วนสุทธิด้วยการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ สอดคล้องกับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและการชะลอตัวของเงินให้สินเชื่อ
ภายใต้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่มีความท้าทาย ส่งผลให้ความต้องการเงินให้สินเชื่อลดลง กรุงศรียังคงเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ระยะกลางและระยะยาวเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงิน และสร้างโอกาสการเติบโตในตลาดลูกค้ารายย่อยและผู้ประกอบการ SME โดยการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน TIDLOR เพิ่มขึ้นจาก 30.18% เป็น46.51% ในไตรมาสสามของปี 2568
สรุปผลประกอบการและฐานะการเงินที่สำคัญสำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568:
• กำไรสุทธิในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2568จำนวน 24,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1% หรือจำนวน 1,188
ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2567 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และกำไรพิเศษที่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน TIDLOR ซึ่งบางส่วนสุทธิด้วยการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ สอดคล้องกับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและการลดลงของความต้องการเงินให้สินเชื่อตั้งแต่ต้นปี รวมถึงการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน
• เงินให้สินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 2.7% หรือจำนวน 51,384 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคม 2567โดยได้รับ
แรงขับเคลื่อนจากสินเชื่อเพื่อรายย่อยที่ได้รับจากการรวมงบการเงิน (Consolidation) ของTIDLOR รวมทั้งการเติบโตของเงินให้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ขณะที่สินเชื่อขนาดกลางและขนาดย่อมปรับตัวลดลง
• เงินรับฝาก ลดลง 5.7% หรือจำนวน 104,602 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคม 2567 โดยมีปัจจัยหลัก
มาจากการลดลงของเงินรับฝากประจำ สะท้อนถึงการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินเชิงรุก ท่ามกลางสภาวะที่เงินให้สินเชื่อเติบโตต่ำ
• ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 4.28% เทียบกับ 4.33% ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2567 สอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
• รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 15.8% หรือ 5,294 ล้านบาท จากช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2567 โดยมีปัจจัยหลักมาจากกำไรพิเศษจากธุรกรรมการรวมงบการเงินของ TIDLOR กำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่
วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน และหนี้สูญรับคืน
• อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ อยู่ที่ 46.4%
• อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ที่ 3.49%ขณะที่สัดส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวมปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 215 เบสิสพอยท์ จาก 245 เบสิสพอยท์ ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2567 และอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่123.1%
• อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) อยู่ที่ 20.23% เทียบกับ 19.38% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567
นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงศรียังคงมุ่งมั่นดำเนินการตามกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับปีนี้ โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินอย่างรัดกุมต่อเนื่องเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการบริหารความเสี่ยงที่รอบคอบระมัดระวัง นอกจากนี้ธนาคารยังเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ระยะกลางและระยะยาวในการเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินรวมถึงการสร้างโอกาสการเติบโตในกลุ่มลูกค้ารายย่อยและ SME สะท้อนได้จากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น ใน บมจ. ติดล้อ โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นการต่อยอดความแข็งแกร่งของธนาคารในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่”
นายเคนอิจิให้ความเห็นเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจว่า “เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เผชิญแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงเปราะบาง และอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแรง อย่างไรก็ตาม คาดว่าปัจจัยที่จะช่วยประคองการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสที่สี่ มาจากเสถียรภาพทางการเมืองที่ปรับตัวดีขึ้น กอปรกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่มุ่งสนับสนุนการบริโภคและการท่องเที่ยวภายในประเทศ ทั้งนี้กรุงศรียังคงประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2568 ที่ 2.1%”
ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 กรุงศรีซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.95 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.72 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.59 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 336.98 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 20.23% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของคิดเป็น 16.02%
เกี่ยวกับกรุงศรี
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) เป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5ของไทยด้านสินทรัพย์ สินเชื่อ และเงินฝาก และเป็นหนึ่งในหกสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) โดยดำเนินธุรกิจมานานถึง 80 ปี กรุงศรีเป็นบริษัทในเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) กลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก กลุ่มกรุงศรีให้บริการทางการเงินการธนาคารอย่างครบวงจร ทั้งในด้านสินเชื่อเพื่อรายย่อย การลงทุน การบริหารจัดการกองทุน รวมทั้งผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินอันหลากหลายแก่กลุ่มลูกค้าบุคคล ลูกค้า SME และลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ผ่านสาขาของธนาคารกว่า 558 สาขา (เป็นสาขาที่ให้บริการทางการเงินในรูปแบบปกติ 518 สาขาและสาขาที่ให้บริการเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 40 สาขา) และช่องทางการขายกว่า 33,176 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ กรุงศรียังเป็นผู้ออกบัตรเครดิตรายใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยมีจำนวนบัญชีบัตรเครดิตและสินเชื่อเพื่อการผ่อนชำระ/สินเชื่อส่วนบุคคลมากกว่า 10.3 ล้านบัญชี และเป็นผู้ให้บริการด้านสินเชื่อรถยนต์ชั้นนำ (กรุงศรี ออโต้) พร้อมทั้งมีบริษัทบริหารจัดการกองทุนที่มีอัตราเติบโตสูงที่สุดแห่งหนึ่ง (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงศรี จำกัด) ทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้มีรายได้น้อย (บริษัท ติดล้อ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)) อีกด้วย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ https://www.krungsri.com
กรุงศรีมีพันธสัญญาในการดำเนินธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างสูงสุด ธนาคารและบริษัทในเครือได้ผ่านการรับรองการเป็นสมาชิกอย่างสมบูรณ์ของ “แนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านทุจริต” โดยมุ่งร่วมมือกับองค์กรชั้นนำในไทยและผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียของธนาคาร เพื่อให้การดำเนินธุรกิจปราศจากการทุจริตคอร์รัปชั่น
เกี่ยวกับมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG)
มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) เป็นหนึ่งในกลุ่มสถาบันทางการเงินชั้นนำระดับโลก มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ กรุงโตเกียว ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานในการดำเนินธุรกิจกว่า 360 ปี MUFG มีเครือข่ายสำนักงานราว 2,000 แห่ง ในกว่า 40 ประเทศทั่วโลกและมีพนักงานกว่า 150,000 คน MUFG นำเสนอบริการทางการเงินที่หลากหลายครอบคลุมทั้งธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ทรัสต์แบงก์กิ้ง ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจบัตรเครดิต ธุรกิจสินเชื่อเพื่อรายย่อย ธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธุรกิจเช่าซื้อ MUFG มีเป้าหมายที่จะเป็น “กลุ่มสถาบันทางการเงินที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดในโลก” ด้วยการผสานศักยภาพในการดำเนินธุรกิจเพื่อตอบสนองทุกความต้องการทางการเงินของลูกค้าโดยคำนึงถึงสังคมและการแบ่งปันสู่ความเติบโตอย่างยั่งยืน MUFG จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ตลาดหลักทรัพย์นาโกยา และตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MUFG กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ https://www.mufg.jp/english