จุฬาฯ จัดเสวนาระดับโลกชี้ทางนวัตกรรมไทย ก้าวสู่เศรษฐกิจฐานความรู้และทรัพย์สินทางปัญญา
จุฬาฯ จัดเสวนาระดับโลกชี้ทางนวัตกรรมไทย ก้าวสู่เศรษฐกิจฐานความรู้และทรัพย์สินทางปัญญา
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Innovation Hub) เดินหน้ายกระดับศักยภาพนวัตกรรมและทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศ ผ่านการจัดงานเสวนา President’s Distinguished Speaker ครั้งที่ 6 “ก้าวสู่อนาคตของนวัตกรรมและการถ่ายทอดเทคโนโลยีผ่านมุมมองของผู้นำระดับโลก” โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวเปิดงาน จากนั้นเป็นการปาฐกถาจากผู้นำระดับโลกด้านทรัพย์สินทางปัญญา นวัตกรรมและการถ่ายทอดเทคโนโลยี คุณ Marco M. Alemán ผู้ช่วยอธิบดีองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) และคุณ Katharine Ku อดีตผู้อำนวยการฝ่ายบริหารจาก Office of Technology Licensing จาก Stanford University มีคุณอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา พร้อมด้วยผู้บริหารมหาวิทยาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐ และผู้บริหารระดับสูงจากภาคเอกชน มาเข้าร่วมเพื่อร่วมยกระดับผลงานวิจัยและทรัพย์สินทางปัญญาไทยสู่ตลาดโลกอย่างคับคั่ง
ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวว่า “บทบาทของมหาวิทยาลัยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การศึกษาภายในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างเดียวเท่านั้น แต่รวมถึงบทบาทในการสร้างนวัตกรรมและเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของคนไทย โดยอาศัยนวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญ นวัตกรรมที่สร้างขึ้นนั้นมีเป้าหมายเพื่อสร้างผลกระทบไม่ใช่สร้างรายได้ สิ่งที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือการสร้างผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต นวัตกรรมที่ดีจะต้องเริ่มจากนวัตกร มหาวิทยาลัยมีบทบาทหลักในการสร้างนวัตกร นวัตกรต้องมาก่อนนวัตกรรมเสมอ”
ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ รองอธิการบดีจุฬาฯ กล่าวเสริมว่า ความสำเร็จของจุฬาฯ ในการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญานั้น เกิดจากยุทธศาสตร์สำคัญที่ให้ความสำคัญกับการวางรากฐานตั้งแต่ “จุดเริ่มต้น” ของการพัฒนาความรู้และงานวิจัย “การบริหาร IP ที่ดี ต้องเริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ” โดยแนวทางการดำเนินงานของ จุฬาฯ ได้สร้างระบบนิเวศความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศและภาคเอกชน ตั้งแต่ช่วงที่งานวิจัยยังเป็นเพียง วิจัยพื้นฐาน จนพัฒนาต่อเนื่องไปสู่การ ถ่ายทอดเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ ได้จริงจะเห็นได้จากผลงานความสำเร็จที่เป็น “ประวัติศาสตร์ของประเทศ” คือการถ่ายทอดเทคโนโลยี “ยาต้านมะเร็งไฮเทค” สู่สหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการถ่ายทอดนวัตกรรมด้านยาไทยไปยังประเทศสหรัฐฯ โดยสมบูรณ์
คุณอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า IP คือหัวใจสำคัญในการสร้างรายได้ใหม่ให้ประเทศ และ DIP พร้อมสนับสนุนในทุกมิติทั้งการคุ้มครอง การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ การบังคับใช้สิทธิ์ และการเชื่อมโยงตลาดผ่าน Business Matching เพื่อให้งานวิจัยตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง สำหรับกรมฯ พร้อมเป็นพันธมิตรร่วมกับสถาบันการศึกษา เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้มีความยั่งยืนและพร้อมก้าวสู่เวทีนวัตกรรมระดับโลก
คุณ Marco M. Alemán จากองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ผู้กำหนดนโยบายและขับเคลื่อนระบบนิเวศนวัตกรรมในกว่า 30 ประเทศเชื่อมโยงภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา กล่าวว่า กรอบกฎหมายที่เข้มแข็ง คือรากฐานสำคัญในการคุ้มครองผลงานทางปัญญาทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับการคุ้มครองด้วยสิทธิบัตร การระบุตัวตนของสินค้าโดยเครื่องหมายการค้า หรือผลงานสร้างสรรค์ที่ได้รับการคุ้มครองด้วยลิขสิทธิ์ กรอบกฎหมายเช่นนี้ทำให้ระบบทรัพย์สินทางปัญญาสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างผลกระทบเชิงบวก เขาเสริมว่า ระบบการบริหารจัดการที่เข้มแข็ง ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้ระบบทรัพย์สินทางปัญญาตอบสนองความต้องการของทุกภาคส่วน นโยบายที่มีประสิทธิผลต้องตระหนักถึงบทบาทเฉพาะของแต่ละมิติ เช่น ระบบสิทธิบัตรส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม ระบบเครื่องหมายการค้าช่วยจัดระเบียบตลาด และระบบลิขสิทธิ์สนับสนุนการพัฒนาวัฒนธรรม องค์ประกอบทั้งหมดนี้รวมกันเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ระบบนิเวศทรัพย์สินทางปัญญา” ซึ่งนักวิจัย นักประดิษฐ์ ผู้ประกอบการ มหาวิทยาลัย และหน่วยงานกำกับดูแล ต้องทำงานร่วมกันอย่างสอดประสาน เมื่อทุกองค์ประกอบเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน ระบบก็จะสามารถเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคง
ทั้งนี้ การถอดบทเรียนจาก Stanford University สู่โมเดลไทยผ่านงานเสวนานานาชาติครั้งนี้ คุณ Katharine Ku ผู้ทรงอิทธิพลด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของมหาวิทยาลัยระดับโลกอย่าง Stanford University มากว่า 27 ปี และขับเคลื่อนนวัตกรรมที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจระดับพันล้านดอลลาร์ ได้กล่าวเชิญชวนให้มหาวิทยาลัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความมุ่งมั่นจะนำงานวิจัยไปสู่การสร้างนวัตกรรมระดับโลก และสตาร์ทอัพเชิงลึก (Deep Tech) ให้เริ่มลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง เธอกล่าวเสริมว่า สำนักงานถ่ายทอดเทคโนโลยีของ Stanford University มีอายุยาวนานกว่า 55 ปี การสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพนั้นต้องใช้เวลา สถาบันในภูมิภาคสามารถเรียนรู้จากสหรัฐอเมริกา และประเทศอื่น ๆ แต่ท้ายที่สุดจำเป็นต้องออกแบบระบบนิเวศนวัตกรรมที่สะท้อนบริบททางวัฒนธรรมและชาติของตนเอง เธอย้ำว่า ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในวันนี้สามารถเกิดขึ้นได้รวดเร็วกว่า Stanford ในอดีต เพราะทุกคนสามารถเรียนรู้จากเส้นทางที่ Stanford ได้ผ่านมาก่อนแล้ว
งานเสวนาครั้งนี้สะท้อนภาพชัดเจนถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ สถาบันการศึกษา และองค์กรนานาชาติ ที่มีเป้าหมายร่วมกันคือการผลักดันประเทศไทยสู่ “เศรษฐกิจที่มีรากฐานมาจากนวัตกรรม (Innovation-driven Economy)” ด้วยระบบนิเวศที่เชื่อมโยงภาควิจัยกับตลาดอุตสาหกรรมอย่างไร้รอยต่อ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยเชื่อมโยงไทยกับเครือข่ายนวัตกรรมระดับโลก โดยมีเป้าหมายหลักในการผลักดันผลงานวิจัยหรือเทคโนยีของไทยไปสู่เชิงพาณิชย์ (Research/Technology Utilization) และส่งเสริมสตาร์ทอัพเชิงลึก (Deep Tech) ให้เติบโตระดับโลกผ่านมุมมองของทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรม